BTU คืออะไร ย่อมาจากอะไร BTUเท่าไรเหมาะสมกับห้องที่มี บีทียู ย่อมาจาก British Thermal Unit คือหน่วยวัดค่าพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล หรือพูดให้เข้าใจจ่ายๆคือหน่วยวัดค่าความเย็นของแอร์ นั่นเอง ยิ่งตัวเลข BTU มาก ความสามารถในการสร้างความเย็นจากแอร์ก็จะได้มากและสามารถทำความเย็นได้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ถ้ามี BTU มากพอก็จะทำให้แอร์ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วยนั้นเอง
1 BTU คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ (0.45 กิโลกรัม) มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ (0.56 องศาเซลเซียส)
อีกหน่วยที่นิยมใช้สำหรับหาปริมาณความร้อนของระบบเครื่องทำความเย็นนั้นคือ ตัน (TON) คำว่า “1 ตันความเย็น” นั้นหมายถึงปริมาณความร้อนที่ใช้ในการละลายน้ำแข็ง 1 ตัน (2,000 ปอนด์) ในเวลา 24 ชม. หรือ 1 Ton = 12,000 BTU นั้นเอง
เมื่อพูดถึงหน่วยการทำความเย็น เรามักจะได้ยินหน่วยที่ใช้กันอยู่ 3 หน่วย คือ BTU , TON และ KW (Kilo Watt ) KW จะพบมากในระบบอุตสาหกรรม หรือระบบทําความเย็นที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถแปลงหน่วยของ BTU ได้ดังนี้
1 Ton = 12,000 BTU1 Kw = 3,412.142 BTU
BTU คือความสามารถในการทำความเย็น เลขมากทำความเย็นได้มาก และทำความเย็นได้ในพื้นที่มีขนาดใหญ่ แต่ BTU ที่มีค่ามากก็จะส่งผลให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย การเลือก BTU ที่เหมาะสมกับห้องจึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก
การเลือกใช้ BTU ที่มากกว่าขนาดห้อง จะได้แอร์ตัวใหญ่ เสียค่าแอร์และค่าไฟฟ้าแพงกว่าปกติ เวลาแอร์ทำงาน คอมเพรสเซอร์ จะตัดบ่อย เพราะทำความเย็นได้เร็วการเลื่อกใช้ BTU ที่น้อยกว่าขนาดห้อง จะทำให้แอร์ทำความเย็นได้ช้า หรืออาจทำให้แอร์ทำความเย็นไม่ได้ ห้องไม่เย็น Compressor ก็จะทำงานตลอดเวลา เปลืองค่าไฟฟ้า และยังส่งผลให้ อายุการใช้งานของ Compressor สั้นลงอีกด้วย